top of page

วิธีการดูแลรักษาตู้เย็นให้ใช้งานได้นาน ไม่มีปัญหากวนใจ

  • รูปภาพนักเขียน: siamchai service
    siamchai service
  • 22 มิ.ย.
  • ยาว 1 นาที

การใช้ตู้เย็นอย่างถูกวิธี ลดค่าไฟ ช่วยยืดอายุการใช้งาน

หากพูดถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานหนักที่สุดในบ้าน หนึ่งในนั้นต้องยกให้กับ “ตู้เย็น” เพราะต้องเปิดใช้งานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ทำหน้าที่เก็บรักษาอาหาร ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และเครื่องดื่มให้สดใหม่อยู่เสมอ ดังนั้นการดูแลรักษาตู้เย็นให้ใช้งานได้ดีและนานที่สุด เป็นสิ่งสำคัญไม่เพียงเพื่อยืดอายุการใช้งาน แต่ยังช่วยลดค่าไฟฟ้าในบ้านได้อีกด้วย วันนี้เรามีคำแนะนำดี ๆ ในการดูแลตู้เย็นมาแบ่งปันกัน

1. จัดวางตู้เย็นให้เหมาะสม

ตำแหน่งที่ตั้งของตู้เย็นส่งผลต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานโดยตรง ควรวางตู้เย็นในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก โดยให้แผงระบายความร้อนอยู่ห่างจากผนังประมาณ 6 นิ้ว และหลีกเลี่ยงการวางตู้เย็นใกล้หน้าต่างหรือม่าน เพราะความร้อนจากภายนอกจะทำให้ตู้เย็นทำงานหนักมากขึ้น

2. ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม

ตู้เย็นควรตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 0–4 องศาเซลเซียส ส่วนช่องแช่แข็งควรต่ำกว่า 0 องศา หากใช้ปุ่มหมุนแบบตัวเลข ควรทดลองหรือดูจากคู่มือการใช้งานเพื่อปรับให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยรักษาความสดของอาหาร และประหยัดไฟไปพร้อมกัน

3. หมั่นทำความสะอาดแผงระบายความร้อน

ฝุ่นที่สะสมบริเวณ Condenser Coils จะทำให้ตู้เย็นระบายความร้อนได้ไม่ดี ส่งผลให้เครื่องทำงานหนัก และกินไฟมากขึ้น ควรทำความสะอาดแผงระบายความร้อนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง โดยถอดปลั๊กก่อน แล้วใช้แปรงหรือผ้าแห้งเช็ดฝุ่นออก

4. อย่าวางใกล้แหล่งความร้อน

ควรหลีกเลี่ยงการวางตู้เย็นใกล้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปล่อยความร้อน เช่น เตาอบ เตาแก๊ส หรือหม้อหุงข้าว เพราะความร้อนภายนอกจะทำให้ภายในตู้เย็นร้อนขึ้น และต้องใช้พลังงานในการทำความเย็นเพิ่มมากขึ้น

5. หลีกเลี่ยงการใส่อาหารมากเกินไป

ตู้เย็นที่อัดแน่นเกินไปจะทำให้อากาศเย็นหมุนเวียนได้ไม่สะดวก และหากมีน้ำแข็งเกาะมากในช่องแช่แข็งก็จะทำให้ปิดฝาไม่สนิท ควรหมั่นกดปุ่มละลายน้ำแข็งหรือล้างตู้เย็นตามรอบที่เหมาะสม อย่าใช้การงัดน้ำแข็งออก เพราะจะทำให้ตู้เย็นเสียหาย

6. รอให้อาหารเย็นก่อนใส่ตู้เย็น

หลังจากทำอาหารหรืออุ่นร้อน ควรรอให้อาหารเย็นลงก่อนจึงจะนำเข้าตู้เย็น เพราะหากนำอาหารร้อนใส่ทันที จะทำให้ตู้เย็นต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อปรับอุณหภูมิ ส่งผลให้กินไฟมากขึ้น

7. อย่าเปิดตู้เย็นบ่อยหรือเปิดค้างไว้นาน

การเปิด-ปิดตู้เย็นบ่อย ๆ หรือเปิดไว้นาน ๆ ทำให้อุณหภูมิภายในเปลี่ยนแปลง ระบบทำความเย็นต้องทำงานเพิ่มเพื่อรักษาระดับอุณหภูมิให้คงที่ ส่งผลให้คอมเพรสเซอร์สึกหรอเร็วขึ้น และกินไฟมากขึ้น

8. ใช้เต้าเสียบแยกเฉพาะ

ตู้เย็นควรใช้เต้าเสียบไฟฟ้าแยกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ โดยเฉพาะเครื่องที่ใช้พลังงานสูง เช่น เตาอบ หม้อหุงข้าว หรือเครื่องซักผ้า เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและช่วยให้ตู้เย็นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

9. ตรวจเช็คขอบยางประตู

ขอบยางประตูตู้เย็นหากเสื่อมสภาพ จะทำให้ลมเย็นรั่วออกมา อากาศภายนอกเข้ามาภายใน ส่งผลให้ตู้เย็นทำงานหนักมากขึ้น ทดสอบโดยใช้กระดาษสอดระหว่างขอบประตู หากดึงออกมาได้ง่ายแสดงว่าขอบยางเริ่มเสื่อม ควรเปลี่ยนหรือซ่อมแซม

10. เลือกซื้อตู้เย็นที่ประหยัดไฟและมีคุณภาพ

เลือกจากฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5

ตู้เย็นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 โดยเฉพาะรุ่นที่มีระดับดาวเพิ่มเติม (1–3 ดาว) จะประหยัดพลังงานได้มากยิ่งขึ้น

ขนาดคิวต้องเหมาะกับบ้านและจำนวนคน

ไม่ควรเลือกตู้เย็นที่เล็กหรือใหญ่เกินความจำเป็น เลือกให้เหมาะกับพื้นที่ใช้สอยและจำนวนสมาชิกในครอบครัว

มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ

แม้จะใช้พลังงานมากกว่าเล็กน้อย แต่สะดวกและรักษาอุณหภูมิได้ดี

มีเครื่องทำน้ำดื่มและน้ำแข็ง

ไม่ต้องเปิดประตูตู้เย็นบ่อย ช่วยประหยัดพลังงานและรักษาอุณหภูมิภายในให้คงที่

มีฉนวนกันความร้อนหนาแน่น

ช่วยลดการสูญเสียความเย็นจากภายนอก ตู้เย็นจึงไม่ต้องทำงานหนักเกินไป

สีตู้เย็นก็มีผล

ตู้เย็นสีอ่อนช่วยให้แสงในห้องสะท้อนดีขึ้น ลดการใช้หลอดไฟเสริม และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ขอบคุณแหล่งที่มา :https://www.lg.com/th/blog-list/how-to-effectively-extend-refrigerator-life/

 
 
 

Comments


bottom of page