ปัญหาที่พบบ่อยสำหรับเครื่องซักผ้า พร้อมทริคแก้ปัญหาเบื้องต้น
- siamchai service
- 18 ต.ค.
- ยาว 1 นาที

เครื่องซักผ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้านที่ช่วยให้การซักผ้าเป็นเรื่องง่ายและประหยัดเวลา แต่เมื่อใช้งานไปนานๆ ก็อาจเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ ซึ่งหากรู้วิธีตรวจสอบและแก้ไขเบื้องต้น ก็จะช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการซ่อม วันนี้เราจึงรวบรวม ปัญหายอดฮิตของเครื่องซักผ้า พร้อม เคล็ดลับการแก้ปัญหาเบื้องต้น มาฝากกัน 1. 🚫 เครื่องซักผ้าไม่ทำงาน

กดปุ่มเปิดเครื่องแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น หน้าจอไม่ติด เครื่องไม่ตอบสนอง หรือบางครั้งเหมือนจะเริ่มแต่ก็หยุดไปเฉยๆ
สาเหตุที่เป็นไปได้:
ปลั๊กไฟหลวม หรือสายไฟเสียหาย
เบรกเกอร์ในบ้านตัด ทำให้ไม่มีไฟเข้าเครื่อง
ฝาเครื่องปิดไม่สนิท (โดยเฉพาะเครื่องฝาบน เครื่องจะไม่เริ่มซักหากฝาเปิดอยู่)
ระบบล็อก (Child Lock) ทำงานโดยไม่ได้ตั้งใจ
แผงวงจรควบคุมภายในเครื่องมีปัญหา
วิธีแก้เบื้องต้น:
ตรวจสอบปลั๊กไฟว่ายังเสียบแน่นดีหรือไม่ ลองถอดออกแล้วเสียบใหม่
ลองเสียบปลั๊กอุปกรณ์อื่นเพื่อตรวจสอบว่ารูปลั๊กมีไฟหรือไม่
ตรวจเช็กเบรกเกอร์ ถ้าเบรกเกอร์ตัด ให้เปิดใหม่
ปิดฝาเครื่องให้แน่น ลองกดเริ่มโปรแกรมอีกครั้ง
หากหน้าจอขึ้นสัญลักษณ์รูปแม่กุญแจ แปลว่าระบบ Child Lock ถูกเปิดอยู่ ให้กดปุ่มปลดล็อกตามคู่มือรุ่นนั้นๆ
หากทุกอย่างปกติแต่เครื่องยังไม่ติด อาจเกิดจากแผงวงจรเสีย ควรติดต่อศูนย์บริการ
เคล็ดลับ: อย่าลืมเช็กสายไฟและปลั๊กเป็นประจำ เพราะความชื้นบริเวณพื้นที่ซักผ้าอาจทำให้สายไฟเสื่อมสภาพได้เร็ว
2. 💧 เครื่องซักผ้าไม่เติมน้ำ / น้ำไหลเข้าช้า
กดเริ่มโปรแกรมแล้วเครื่องไม่ดูดน้ำเข้าถัง หรือมีน้ำไหลเข้าช้ามากจนไม่เริ่มซักเสียที
สาเหตุที่เป็นไปได้:
แรงดันน้ำในบ้านต่ำกว่าปกติ
กรองน้ำบริเวณท่อน้ำเข้าอุดตัน (มักเกิดจากตะกรันหรือเศษดิน)
วาล์วน้ำเปิดไม่สุด
วาล์วไฟฟ้าภายในเครื่องมีปัญหา
วิธีแก้เบื้องต้น:
ตรวจสอบแรงดันน้ำจากก๊อก หากไหลช้า อาจต้องซักในช่วงเวลาที่น้ำแรง เช่น ตอนเช้าหรือกลางคืน
ปิดก๊อกน้ำ ถอดสายท่อน้ำเข้าออก แล้วดึงกรองเล็กๆ ที่อยู่ตรงทางเข้าออกมาล้างตะกรันออก
เปิดวาล์วน้ำให้สุด
หากล้างกรองแล้วแต่ยังไม่มีน้ำเข้า เครื่องอาจมีปัญหาที่วาล์วไฟฟ้า ควรเรียกช่างมาตรวจเช็ก
เคล็ดลับ: ควรล้างกรองน้ำทุก 1–2 เดือน เพื่อลดโอกาสการอุดตันและยืดอายุการใช้งานของวาล์วน้ำ 3. 🌊 เครื่องไม่ระบายน้ำ / น้ำขังในถังซัก
ซักเสร็จแล้วน้ำยังคงอยู่ในถัง เครื่องไม่ยอมปั่นหมาด หรือขึ้น Error ระบายน้ำไม่ได้
สาเหตุที่เป็นไปได้:
ท่อน้ำทิ้งพับงอ หรือวางผิดตำแหน่ง ทำให้น้ำไหลย้อนกลับ
ท่อน้ำทิ้งหรือกรองน้ำทิ้งอุดตัน
เศษผ้า เศษเหรียญ หรือตะกรันไปติดที่ปั๊มน้ำทิ้ง
ปั๊มน้ำเสีย
วิธีแก้เบื้องต้น:
ตรวจสอบท่อน้ำทิ้งให้แน่ใจว่าไม่มีการพับหรือบิดงอ และวางต่ำกว่าระดับตัวเครื่อง
ถอดฝาครอบกรองน้ำทิ้ง (มักอยู่ด้านล่างตัวเครื่อง) แล้วล้างเศษสิ่งสกปรกออก
ลองกดปุ่ม “ระบายน้ำ” (Drain) ดูว่าเครื่องสามารถทำงานได้หรือไม่
หากน้ำยังไม่ออกและมีเสียงมอเตอร์ดังเบาๆ อาจเป็นสัญญาณว่าปั๊มน้ำเสีย ควรติดต่อช่าง
เคล็ดลับ: ควรล้างกรองน้ำทิ้งอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงที่ปั๊มจะทำงานหนักเกินไป 4. 🌀 เครื่องซักผ้าเสียงดังหรือสั่นแรงผิดปกติ
ระหว่างซักหรือปั่นหมาด เครื่องมีเสียง “ดังครืด ครืด” หรือสั่นจนตัวเครื่องขยับ
สาเหตุที่เป็นไปได้:
วางเครื่องไม่สมดุล พื้นไม่เรียบ
ขาเครื่องไม่เท่ากัน
มีของตกอยู่ในถังซัก เช่น เหรียญ ปากกา กระดุม
ถังซักไม่บาลานซ์เพราะใส่ผ้า偏ข้างเดียว
ลูกปืนหรือโช้คภายในเครื่องเสื่อมสภาพ
วิธีแก้เบื้องต้น:
ตรวจสอบพื้นวางเครื่องให้เรียบเสมอกันทุกด้าน
ปรับขาเครื่องให้เท่ากัน
ตรวจสอบภายในถังว่ามีของแข็งตกค้างหรือไม่
เวลาซักผ้า อย่าใส่ผ้าไว้ข้างเดียว ให้กระจายผ้าให้ทั่วถัง
หากเสียงดังต่อเนื่องแม้ไม่มีสิ่งของในถัง อาจเกิดจากลูกปืนหรือโช้คเสื่อม ควรให้ช่างเข้ามาดู
เคล็ดลับ: การวางเครื่องซักผ้าบนพื้นยางกันสั่นจะช่วยลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนได้มาก

5. 👕 ผ้าซักเสร็จแล้วไม่สะอาด / มีกลิ่นอับ
ผ้าที่ซักออกมาเหมือนไม่สะอาดเท่าเดิม มีกลิ่นอับชื้น โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน
สาเหตุที่เป็นไปได้:
ใส่ผ้ามากเกินไปในหนึ่งรอบ
ใช้น้ำยาซักผ้ามากเกินความจำเป็น
เลือกโปรแกรมซักไม่เหมาะกับชนิดผ้า
ภายในถังซักมีเชื้อรา หรือตะกรันสะสม
วิธีแก้เบื้องต้น:
ใส่ผ้าไม่เกินปริมาณที่ระบุไว้ในคู่มือเครื่อง
ใช้น้ำยาซักผ้าตามปริมาณที่แนะนำ ไม่ควรใส่เกินเพราะจะทำให้ล้างออกไม่หมด
เลือกโปรแกรมซักให้เหมาะ เช่น ผ้าหนาให้ใช้โปรแกรมซักหนัก
ทำความสะอาดถังซักเดือนละ 1–2 ครั้ง โดยใช้น้ำยาล้างถังหรือเปิดโปรแกรม “ล้างถัง” ที่มากับเครื่อง
เคล็ดลับ: หลังซักผ้าเสร็จ ควรรีบนำผ้าไปตากทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้ในถัง เพราะความชื้นจะทำให้เกิดกลิ่นอับได้ง่าย 6. ⚠️ เครื่องขึ้น Error Code
เครื่องไม่ทำงานและขึ้นตัวอักษรหรือตัวเลขบนหน้าจอ เช่น “E1”, “F2”, “dE” เป็นต้น
สาเหตุที่เป็นไปได้:
เครื่องตรวจพบความผิดปกติ เช่น ระบบน้ำ ฝาเปิดไม่สนิท มอเตอร์ขัดข้อง หรือไฟตก
แต่ละรุ่นจะมีรหัส Error ไม่เหมือนกัน
วิธีแก้เบื้องต้น:
จดรหัสที่ปรากฏ แล้วเปิดคู่มือเครื่องเพื่อดูความหมายของรหัส
ปิดเครื่อง ถอดปลั๊กออก 5–10 นาที แล้วเสียบใหม่เพื่อรีเซ็ตระบบ
หากขึ้นรหัสเดิมซ้ำ ควรติดต่อศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบ
เคล็ดลับ: เก็บคู่มือเครื่องไว้ใกล้ตัว จะช่วยให้คุณตรวจสอบปัญหาได้รวดเร็วขึ้นเมื่อเกิด Error ปัญหาเครื่องซักผ้าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หลายปัญหาเป็นเพียงเรื่องเล็กที่เราสามารถตรวจสอบและแก้ไขเองได้ง่ายๆ หากรู้จุดที่ต้องดู และดูแลเครื่องเป็นประจำ เครื่องซักผ้าก็จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพไปอีกยาวนาน ช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในอนาคต



ความคิดเห็น